
แกรี่ เนวิลล์ ชีวิตหลังแขวนสตั๊ต นักฟุตบอลส่วนใหญ่แล้วหากแขวนรองเท้าแล้วส่วนใหญ่จะทำงานในวงการฟุตบอลต่อไป แต่บางคนอาจหันไปเอาดีทางด้านธุรกิจส่วนตัว แต่สำหรับตัว แกรี่ เนวิลล์ ถือว่าเป็นคนในวงการฟุตบอล ที่ได้สัมผัสกับงานหลายประเภทในวงการฟุตบอล มีทั้งประสบผลสำเร็จและล้มเหลว แกรี่ เนวิลล์ "ตำนานปีศาจแดง" ผู้หนึ่งซึ่งนำทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ครองความเป็นเจ้าลูกหนังทั้งในอังกฤษและยุโรป ยาวนานหลายสิบปีและกวาดแชมป์มากมายรวมทั้งพรีเมียร์ลีก 8 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย รวมทั้งไฮไลท์สำคัญในการคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ ในปี 1999
หลังจากตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2011 แกรี่ เนวิลล์ ก็ยังไม่ทิ้งวงการลูกหนังเมื่อจับมือร่วมกับเพื่อนเก่าทั้ง ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์ และ ฟิล เนวิลล์ น้องชาย ซื้อสโมสรซัลฟอร์ด ซิตี้ จากนั้นก็ยังทำธุรกิจด้านโรงแรมที่ชื่อว่า โฮเทล ฟุตบอล ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด บ้านหลังเก่าของเขาอีกด้วย
นอกจากนี้เหล่า"คลาส ออฟ 92"ยังได้สร้าง ยูนิเวอร์ซิตี้ อะคาเดมี่ 92" มหาวิทยาลัยที่เน้นการเรียนการสอนด้านกีฬา, สื่อและเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับ "โรงละครแห่งความฝัน" เช่นกัน ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะ แกรี่ นั้นหันทำงานด้านสื่อมวลชนด้วยการรับหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์เกมให้กับ สกาย สปอร์ตส์ ซึ่งทำงานได้เข้าขากับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานกองหลังลิเวอร์พูลได้อย่างลงตัว
ความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลอาชีพหลังจากแขวนรองเท้าสตั๊ตแล้ว คือการมีโอกาสได้ทำงานในสายงานของโค้ช และกุมบังเหียนสโมสรซักแห่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองมีศักยภาพมากแค่ไหน โดย แกรี่ ก็ต้องการทำแบบนั้นเช่นกัน และความฝันของเขาก็เป็นจริงเมื่อ บาเลนเซีย ส่งเทียบเชิญให้ไปนั่งเก้าอี้นายใหญ่
ความเก่งกาจสมัยเป็นนักเตะมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะเก่งเมื่อวางแท็กติค เพราะเจ้าตัวคุม "ไอ้ค้างคาว" ชนะแค่ 10 เกม จาก 28 แมตช์ในทุกรายการที่เข้ามารับงานเมื่อเดือนธันวาคม 2015 และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เขาก็ไม่ได้คุมทีมไหนอีกต่อไปเลย
ซึ่งจริงๆแล้วเหตุการณ์ที่สร้างตราบาปในอาชีพของเขาจะไม่เกิดขึ้นมาเลย หากเจ้าตัวเชื่อฟังคำพูดของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เตือนสติให้จัดการกับผู้เล่นที่มีปัญหา แต่เจ้าตัวดันเลือกที่จะใช้วิธีประนีประนอมจนสุดท้ายตัวเองเป็นฝ่ายพังไป
แม้ว่าในช่วงเวลาที่เลวร้ายในช่วงที่เขาก้าวมากุมบังเหียน "เดอะ แบทแมน" จะมากมายเหลือเกินแต่อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ แกรี่ รู้สึกภาคภูมิใจ นั่นก็คือแมตช์ที่เสมอกับ เรอัล มาดริด 2-2 เมื่อเดือนมกราคม 2016 ซึ่งเกมนั้น บาเลนเซีย มีโอกาสคว้า 3 คะแนนเนื่องจากยอดทีมแห่งถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว เหลือผู้เล่นแค่ 10 คนเพียงเท่านั้น
ที่สำคัญในแมตช์นั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และแกเร็ธ เบล เล่นไม่ออกในเกม ไม่ใช่เพราะการวางแผนในสนามของ แกรี่ แต่มาจากความเจ้าเล่ห์ของเขาในการปล่อยให้หญ้าในสนามหญ้านั้นสูงขึ้น เพื่อให้บอลเคลื่อนตัวช้าลง ส่งผลให้ "ซีอาร์ 7" ไม่สามารถกระชากลากเลื้อยได้อย่างที่ใจปรารถนา
เกมที่เสมอกับ เรอัล มาดริด 2-2 ซึ่งเกือบชนะช่วงท้ายเกมด้วยซ้ำ มันเป็นค่ำคืนที่น่าเหลือเชื่อ ราฟา เบนติเนซ เป็นผู้จัดการทีม (เรอัล) มาดริด และนั่นเป็นเกมสุดท้ายก่อนที่เขาจะโดนไล่ออก สิ่งที่ผมจำได้ดีที่สุดในเกมนั้นก็คือแท็คติกของเขาที่ปล่อยให้หญ้าในสนามยาวและเราไม่ได้รดน้ำในสนาม" แม้แท็คติกดังกล่าวจะถือว่าไม่น่ายกย่องมากนัก แต่ก็ได้ผลเพราะ โรนัลโด้ ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดได้เลย
เนวิลล์ผู้พี่ ทำหน้าที่คุม บาเลนเซีย ไม่ถึง 4 เดือนก็โดนอับเปหิออกจากสโมสรเนื่องจากผลงานที่แสนย่ำแย่โดยเฉพาะในเกมลีกที่ชนะแค่ 3 จาก 16 แมตช์ และเมื่อรวมผลงานในทุกรายการ อดีตเด็กปั้นแมนฯ ยูไนเต็ด ทำทีมชนะแค่ 10 เกมจาก 28 แมตช์
อย่างไรก็ตามว่ากันว่าฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นในแมตช์โกปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศ เมื่อโดน บาร์เซโน่า ไล่ถลุงยับไม่นับญาติ 7-0 รวมผลสองแมตช์แพ้เละ 8-1ซึ่งนั่นเป็นจุดแตกหักที่ทำให้สโมสรเริ่มมองเห็นแสงสว่างแล้วว่าหากยังใช้บริการเจ้าตัวต่อไปมีหวังสโมสรล่องจุ้นแหงๆ
กระนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แกรี่ จะโดนซองขาวจากบอร์ดบริหารเพราะผลงานของอดีตฟูลแบ็กทีมชาติอังกฤษ เลวร้ายลงนับตั้งแต่ก้าวเข้ามากุมบังเหียน โดยเขานำทีมตกรอบฟุตบอลถ้วยทั้ง 3 รายได้ได้แก่ตกรอบแบ่งกลุ่ม ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ยังได้สิทธิ์ไปเล่นในถ้วยยูฟ่า ยูโรปา ลีก ก็ดันตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ตบท้ายด้วยการแพ้ยับเยินต่อ บาร์เซโลน่า ตกรอบฟุตบอลถ้วยแดนกระทิงดุ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงต้องเก็บเสื้อผ้ากลับเมืองผู้ดีอังกฤษเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
หลังจากตาสว่างแล้วว่าตนเองไม่ได้มีศักยภาพในการทำหน้าที่เป็นโค้ช เนวิลล์ ตัดสินใจกลับไปทำงานเป็นนักวิเคราะห์เกมให้กับ สกาย สปอร์ตส์ สื่อทีวีที่เขาเคยทำงานมาก่อนที่จะลาออก เพื่อไปตกระกำลำบากในการกุมบังเหียนบาเลนเซีย การทำงานร่วมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าตัวที่สุด เพราะคู่นี่สมัยเป็นนักฟุตบอลก็ถือเป็นคู่กัดเนื่องจากเป็นนักเตะที่เล่นให้กับสองสโมสรที่เป็นคู่อริร่วมชาติ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล) แต่เมื่อหันมาทำงานด้านสื่อกลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนทำงานได้เข้าขารู้ใจกันมากๆ
ส่วนโอกาสกลับไปทำงานโค้ชอีกครั้ง เรื่องนี้เจ้าตัวยืนยันว่าเข็ดแล้ว "ไม่มีสัญญาณจากส่วนไหนในตัวผมที่ตื่นขึ้นมา และคิดว่า -ผมอยากไปสนามซ้อม ผมได้ทำงานในฐานะผู้จัดการทีมที่บาเลนเซีย และบางทีนั่นเป็นหนึ่งในกรเรียนรู้ที่ดีที่สุดที่ผมเคยได้รับ มันเหมือนมีอะไรมาเคาะที่หัว บางครั้งครั้งหนึ่งในชีวิตคุณต้องเจอกับเรื่องแบบนี้"
"ผมสนใจเรื่องการทำหน้าที่บอร์ดบริหาร หรือพวกธุรกิจมากกว่า แน่นอนว่าฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมรักที่จะดูเกมการแข่งขัน แต่ผมไม่อยากที่จะไปที่สนามฝึกซ้อม ผมรู้สึกเหมือนกับว่าส่วนหนึ่งของชีวิตผมได้ทำเรื่องนี้ไปแล้ว และผมต้องการก้าวเดินต่อไป" แกรี่ กล่าว