
แต่ที่สเปนไม่ได้มีเพียงแค่ เอล กลาซิโก้ เท่านั้น เยื้องลงมาทางตอนใต้ที่แคว้นอันดาลูเซีย มีเกมที่เรียกว่า "El Gran Derbi" หรือที่แปลเป็นไทยว่า "ดาร์บี้แมตช์ที่ยิ่งใหญ่" แต่กลับเป็นการพบกันของ เรอัล เบติส แล้วก็ เซบีย่า 2 ทีมที่คนไทยยังไม่ได้ทำความรู้จัก กับพวกเขาจริงๆจังๆ
เรอัล เบติส ปะทะ เซบีย่า เพราะเหตุใดการพบกันของ 2 ทีมที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้า ก็เลยถูกเรียกว่าเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด... มีอะไรเป็นจุดเริ่มต้น และเพราะอะไรมันจึงมีรสชาติที่ดิบกว่า เอล กลาสิโก้ เสียด้วยซ้ำ?
การเเข่งขันข้ามศตวรรษ ในสมัยของโลกศิวิไลซ์ การทำสงครามกันแบบโต้งๆถือปืนไล่ยิง เอารถวิ่งไล่ถล่มกันอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่มีให้เห็นง่ายๆกันอีกต่อไป ฉะนั้นในช่วงเวลากว่า 100 ปี ก่อนหน้าที่ผ่านมา ถ้าเกิดไม่นับสงครามที่ใหญ่ระดับสงครามโลก, สงครามแบ่งฝักฝ่ายศาสนา แล้วมนุษย์เรามีการประนีประนอมกันเพิ่มมากขึ้น โดยใช้สิ่งอื่นๆเข้ามาทดแทนสงคราม
ฟุตบอลก็เหมือนสงครามที่ย่อขนาด, ความเข้มข้น และก็ลดความรุนแรงลงมา มันคือการประลองที่จบด้วยการมีผู้แพ้และก็ผู้ชนะ ผู้ชนะก็ดีใจ ผู้แพ้ก็อึดอัดใจ รวมทั้งเตรียมมาล้างแค้นกันใหม่ในคราวหน้า...นี่คือสิ่งที่ทำให้ฟุตบอลเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีรสชาติที่สุด
เรื่องราวของ EL Gran Derbi ซึ่งเป็นการพบกันของ 2 สโมสรในแคว้นอันดาลูเซียอย่าง เซบีย่า และก็ เรอัล เบติส ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ทั้งสองทีมอยู่เมืองๆเดียวกัน แต่จุดยืนสำหรับเพื่อการก่อตั้งสโมสรนั้น แสนแตกต่างกัน …และเรื่องมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีที่เเล้ว
เซบีย่า คือ สโมสรประจำเมืองเซบีย่า ที่เกิดขึ้นก่อน เรอัล เบติส แน่นอนว่าในฐานะผู้มาก่อน เซบีย่า เคยเป็นทีมฟุตบอลทีมเดียวของเมือง ด้วยเหตุนี้มันก็เลยเป็นศูนย์รวมของผู้คน ซึ่งเมื่อมีแฟนๆเชียร์เยอะขึ้นเรื่อยๆมากๆเข้า ปัญหาที่ตามมาคือการเซอร์วิสแฟนคลับที่ไม่ทั่วถึง อีกทั้งวิสัยทัศน์ต่างๆของกลุ่มผู้ก่อตั้งกับคนภายในท้องถิ่นก็ไม่ได้ตรงกันเสียทั้งหมด ก็เลยกระตุ้นให้เกิดความแตกต่าง และก็ความรู้สึกว่าไม่ชอบใจเกิดขึ้นในกลุ่มแฟนบอลท้องถิ่น
สมาคมที่นี้ถูกจัดตั้งโดยนักธุรกิจแล้วก็วิศวกรคนอังกฤษเป็นแม่งาน มีการบันทึกเหตุการณ์ว่าชายหนุ่มจากอังกฤษ 6 ผู้ที่เข้ามาดำเนินงานในเมือง นัดหมาย และก็รวมพลกันที่คาเฟ่แห่งหนึ่งเพื่อสร้างสมาพันธ์ที่นี้ขึ้นมาเพื่อสืบหาวิชาความรู้, เป็นสังคมที่ใช้พบปะสนทนา แล้วก็ดื่มรับประทานคบหาสมาคม แล้วพวกเขาก็ลงคะแนนประธานสโสมสร แล้วก็มีกฎที่ตั้งกันขึ้นมาเอง หนึ่งในนั้นเป็นการนิยามของชมรมเซบีคุณย่าว่า เป็นกลุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-ประเทศสเปน
การต้องง้อชาวต่างชาติก็เลยทำให้มีชาวเมือง เซบีย่า อีกกลุ่มจำเป็นต้องสร้างอีก 1 สโมสรมาเพื่อคานอำนาจ แล้วก็การผูกมัด ต่อจากนั้น 27 ปี ต่อมา เรอัล เบติส ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับการช่วยสนับสนุนจากกษัตริย์ "คิง อัลฟองโซ่ ที่ 13"
ว่ากันว่าต้นสายปลายเหตุที่เรอัล เบติส นั้นใส่ชุดสีขาวแล้วก็สีเขียวเป็นสีหลักมีอยู่ 2 เหตุผลใหญ่ๆคือ สีขาวนั้นไม่ยุ่งยากต่อการสรรหาผ้ามาทำชุดเเข่ง ในเวลาที่สีเขียวนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ของหนึ่งในผู้จัดตั้งสโมสรที่ชื่อว่า รามอส อเซนซิโอ ชาวท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับชาวสก็อตแลนด์เป็นอย่างดี ซึ่งสีเขียวนั้นมาจากความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อสโมสรกลาสโกว์ เซลติก
นี่บางทีก็อาจจะเป็นเรื่องที่บังเอิญที่ส่งผ่านให้ EL Gran Derbi ถึงใจถึงอารมณ์เสมอเมื่อทั้ง 2 ทีมลงในสนามเจอกัน เนื่องจากว่าเซบีย่า สนิทกับฝั่งอังกฤษ ส่วนเบติส นั้นก็สนิทกับฝั่งสก็อตแลนด์ ซึ่งถ้าหากให้ลองจับคู่แท็คทีมกันแล้ว ก็ดูเหมือนเป็นอะไรที่เข้าแก๊บกันเป็นอย่างดี เพราะเหตุว่าเดิมทีชาวสก็อตติชและชาวอังกฤษก็เป็นไม้เบื่อไม้เมามากันตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ดาบชิงอำนาจกันเลยด้วย
หากแม้ไม่ใช่ดาร์บี้...ชาวเซวิลล์ก็ยังคลั่งไคล้
หากแม้จำนวนประชากรภายในเมืองไม่มากมายนัก แต่ว่าวัฒนธรรมความหลงใหลในเกมฟุตบอลของชาวเมืองเซวิลล์ ก็ยังคงร้อนแรง แล้วก็นี่ คือ เหตุผลที่ beIN ร่วมกับ La Liga พากลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ แล้วก็นักข่าวจากเอเชีย รวมทั้ง Main Stand มาสัมผัสบรรยากาศในโปรเจคต์ The New La Liga Experience ที่เมืองเซบียา แคว้นอันดาลูเซีย ระหว่างวันที่ 6 - 10 ก.พ. เพื่อให้เห็นว่าวัฒนธรรมฟุตบอลอันสวยงามของประเทศสเปน ไม่ได้มีเพียงแค่เรอัล มาดริด แล้วก็บาร์เซโลน่า พวกเขาต้องการชาวตะวันออกได้เห็นภาพอย่างเห็นได้ชัดว่าชาวเมืองที่นี่ รัก คลั่งไคล้ แล้วก็มีวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอล ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน โดยพาสัมผัสเกมการแข่งขันระหว่างเรอัล เบติส กับบาร์เซโลนา เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา
ท่ามกลางแฟนบอลเกือบจะเต็มความจุของเอสตาดิโอ เบนิโต บิยามาริน ที่ 60,000 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครงตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมมีการแสดงโชว์พอสังเขปเพื่อเอนเตอร์เทนผู้ชมเล็กๆน้อยๆก่อนเกมเริ่ม พวกเขาไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้จะมีนักเตะพันล้าน หมื่นล้าน อย่างลิโอเนล เมสซี่ หรืออองตวน กรีซมันน์ พวกเขาสนเพียงแค่การส่งเสียงเชียร์ ให้กำลังใจ แล้วก็ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เรอัล เบติส ซึ่งเป็นหนึ่งในความภูมิใจของชาวเมืองเซวิลล์ คว้าชัยชนะเหนือทุกครั้งมที่เดินทางมาเยือนความคึกคักแล้วก็ความงดงามของฟุตบอลสเปน ไม่ได้กระจุกอยู่ที่เหล่าทีมดัง นั่น คือ วัตถุประสงค์ที่ beIN แล้วก็ La Liga ปรารถนาตอกย้ำ รวมทั้งทำให้เราเห็นกับตา แม้วันนี้ Main Stand แล้วก็กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์จากอีก 3 ชาติ ยังไม่ได้มีความคิดเห็นว่าดาร์บีแมตช์เมืองเซบียา เป็นอย่างไร แต่ว่าการได้สัมผัสเกมการแข่งขันชิงชัยนัดนี้ ก็พอทำให้เห็นภาพลางๆแล้วว่า เมื่อ El Gran Derbi มาถึง ทั้งเมืองเซบีย่า จะเป็นอย่างไร