อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ถ้าเกิดคุณถาม เฟร์นันโด ซานซ์ อดีตนักฟุตบอลของ เรอัล มาดริด ยุครุ่งเรือง คุณอาจจะได้คำตอบไปอีกแบบ ...
เฟร์นันโด ซานซ์ คือเด็กที่ขยัน, มุ่งมั่น เพื่อต้องการจะพัฒนาตัวเองในฐานะนักฟุตบอลที่ดีของทีม ราชันชุดขาว แต่ทว่าบารมีแล้วก็อำนาจของผู้เป็นพ่อของเขาที่มีต่อสโมสร ทำให้เรื่องของฟุตบอลมันยากไปหมด จนไม่แปลกอะไรที่คุณอาจจะจำเขาไม่ได้ในฐานะนักเตะของ เรอัล มาดริด
นี่คือเรื่องราวของลูกชายของผู้ยิ่งใหญ่ ที่หนีมากแค่ไหนก็ไปไม่พ้นบารมีพ่อ ... ติดตามได้ที่นี่
ซานซ์ ซีเนียร์ ผู้ยิ่งใหญ่
ตระกูลซานซ์ เป็นเชื้อสายของนักฟุตบอลอย่างแท้จริง เพศชายในตระกูลนี้ให้ความสนใจด้านฟุตบอลมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ หากแม้ไม่ได้มีใครกล้าหาญจนมีชื่อเสียง แม้กระนั้นที่แน่นอนความชอบนั้นส่งอิทธิพลมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วก็คนที่ได้รับมันเพื่อสานต่อคือ ลอเรนโซ่ ซานซ์
ลอเรนโซ่ ซานซ์ เติบโตขึ้นมาด้วยการเริ่มเป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมระดับท้องถิ่น และก็เส้นทางของนักเตะก็จบเท่านั้น เพราะว่าต่อให้ต้องการจะสานต่อแค่ไหน แต่ว่าเพราะการเกิดมาในตระกูลที่ไม่มีอันจะกิน แถมยังมีพี่น้องถึง 10 คน ทำให้เขาต้องหางานทำแทนในช่วงของการเป็นวัยรุ่น
ลอเรนโซ่ เริ่มจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์ย่านใกล้ๆกับ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว สนามเหย้าของ เรอัล มาดริด ต่อจากนั้นก็ทำงานตลอดวันตลอดคืนสารพัด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านตัดผม รวมทั้งต่อด้วยการเป็นพนักงานเข็นกระเป๋าในโรงแรมช่วงกะดึก ทุกๆอย่างที่ ลอเรนโซ่ ทำ บวกกับการใช้ชีวิตในแบบที่ประหยัดแล้วก็ศึกษาเรื่องการลงทุนเพิ่มอีก ทำให้เขาเริ่มมีวิชั่นในมุมของนักธุรกิจ จนกระทั่งทนหลังขดหลังแข็งมา 10 ปี เขาจึงมีเงินเก็บก้อนใหญ่จนได้
การมีเงินไม่ได้ทำให้เขาสุรุ่ยสุร่ายหรือให้รางวัลชีวิต แต่ว่า ลอเรนโซ่ นำเงินที่มีทั้งหมดไปซื้อสถานที่พิมพ์เจ้าหนึ่ง รวมทั้งพยายามต่อยอดมันจนกระทั่งประสบผลสำเร็จตั้งแต่อายุ 27 ปีเท่านั้น แล้วต่อจากนั้นก็เลยเริ่มขยับมองไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำให้เขาโตได้ไวยิ่งกว่าธุรกิจสื่อหลายเท่า
"ผมทำงานเดือนเดียวก็ได้เงินพอที่จะซื้อที่ทำการของตัวเองทั้งยังชั้นแล้ว" เขาเล่าให้กับสื่อในประเทศสเปนอย่าง Pozueloin ฟัง
การทำเงินได้มากมายเป็นอันมากบอกถึงความสามารถและก็การมีหัวธุรกิจ แถมยังเป็นคนที่รักฟุตบอลอยู่แล้ว แล้วก็เมื่อเขาได้พบกับ รามอน เมนโดซ่า นักธุรกิจเบอร์ใหญ่ที่กำลังจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานสมาคม เรอัล มาดริด ในยุค 80's ก็กลายเป็นว่าเคมีทั้งคู่คนตรงกัน จนตัวของ เมนโดซ่า อยากได้ให้ ลอเรนโซ่ เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานของเขา
ลอเรนโซ่ เป็นเหมือนมือขวาที่ทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอด การมีเขาอยู่ข้างๆทำให้ เมนโดซ่า บริหารจน เรอัล มาดริด ชุดนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นระดับ "โคตรทีมของสเปน" ตลอด 10 ปี ที่ เมนโดซ่า นั่งตำแหน่งประธาน มาดริด กดแชมป์ลีกมาถึง 6 สมัย แชมป์บอลถ้วยในประเทศอีก 2 สมัย รวมทั้งเมื่อถึงปี 1995 สโมสรก็ได้มีวาระเลือกตั้งประธานสโมสรขึ้นมาใหม่ งานนี้ เมนโดซ่า ตระเตรียมถอยฉากมาเป็นเบื้องหลัง รวมทั้งดันเอา ลอเรนโซ่ ซานซ์ มือขวาของเขาขึ้นมาสวมหัวโขนแทน โดยจึงควรชิงตำแหน่งกับคู่แข่งอย่าง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ
ลูกพี่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ลอเรนโซ่ ขายนโยบายบอกกับแฟนคลับมาดริด ว่ายุคของ เมนโดซ่า พวกเราเป็นชั้น 1 ในประเทศแล้ว แต่ว่าถัดจากนี้ถ้าหากเขาได้เป็นประธาน สิ่งที่จะตามมาคือแชมป์ยุโรปที่สมาพันธ์ไม่เคยสัมผัสมาตั้งแต่ปี 1966 ... แค่นั้น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็แพ้ตั้งแต่มุ้งยังไม่กางแล้ว
"เป็นการเริ่มทำงานที่ยาก สโมสรมีปัญหาเรื่องเงินมากมายในขณะนั้น ซึ่งเมื่อผมเข้ามา เรารีบไปปิดดีลกับสื่อโทรทัศน์ ขายลิขสิทธิ์ต่างๆนานา หลังจากนั้นก็ได้มีการฉีดเงินเข้าไปแก้ปัญหาหนี้สินต่างๆที่จะต้องจ่ายด้วย" ลอเรนโซ่ กล่าวต่อ
ณ เวลานั้นมีการยืนยันว่าเขาใช้เงินส่วนตัวซื้อสตาร์อย่าง เปแดร็ก มิยาโตวิช และก็ ดาวอร์ ซูเคอร์ เข้ามาร่วมทีม รวมทั้งแล้วต่อจากนั้นเมื่อแก้ปัญหาเรื่องภายในเรียบร้อย ลอเรนโซ่ ก็ได้เครดิตมากขึ้นไปอีกเมื่อทีมราชันชุดขาว สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ถึง 2 สมัย (ปี 1997-98 และก็ 1999-2000)
ตัวเลขสถิติของเราตั้งแต่แมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายไปเล่นในเซเรีย อา (จาก มาดริด ไป ยูเวนตุส) ไม่ได้เลวร้ายเลย มันมีความชื่นชอบกว่าเดิม เรามีรายได้มากยิ่งขึ้น มีแฟนบอลทั้งโลกมาขึ้นด้วย" เฟร์นันโด ที่สนับสนุนให้ทีมใหญ่ออกมาเตะโชว์ในต่างแดนเผย ซึ่งล่าสุดทีมอย่าง มาดริด, บาร์เซโลน่า, แอตฯ มาดริด รวมทั้ง บาเลนเซีย ก็มาเตะถ้วยซูเปอร์คัพในประเทศ กาตาร์ ไปสดๆร้อนๆ
เวลานี้ เฟร์นันโด ซานซ์ หนีจากเงาของผู้เป็นพ่อได้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครกล่าวว่าเขาเป็นเด็กเส้นใครอีก เขาเพียงแค่มองกลับกันว่า อิทธิพลสำหรับเพื่อการเป็นผู้นำ การคิดแบบผู้บริหารและนักธุรกิจ ได้ผลักดันและก็ทำให้เขาซึมซับจนถึงเปลี่ยนเป็นคนหนุ่มที่มีความสำเร็จในแวดวงธุรกิจแบบนี้ แล้วก็ที่สำคัญที่สุด เขาเชื่อเสมอว่าแม้ใครจะเห็นว่าตัวของเขาต้อยต่ำ ขอเพียงแค่ตัวเองเชื่อว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็พอแล้ว
