
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล บุกเฉือนเอาชนะ นอริช ซิตี้ 1-0 เก็บสามแต้มสำคัญนำเป็นจ่าฝูงต่อไป พร้อมฉีกหนี แมนฯซิตี้ รองฝูงไปเป็น 25 คะแนน แต่ว่าแข่งมากกว่า 1 เกม เราลองไปดู 5 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมนัดนี้กันหน่อย
หลังเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกมที่ แคร์โรว์ โร้ด รูปเกมเป็นไปตามคาดเมื่อ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครอบครองบอลไล่ขโยกเข้าใส่ นอริช ซิตี้ โดยตลอดโดยยิ่งไปกว่านั้นการติดต่อประสานงานที่แดนกลางจากการขับเคลื่อนของ นาบี เกอิต้า- โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน และก็ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพิ่มเติมขึ้นไปสนับสนุนที่กราบชวาคอยครอสบอลเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วงเวลาที่กองทัพ นกขมิ้น อาศัยการตั้งรับอย่างมีวินัยเพื่อคอยจังหวะสวนกลับเร็วโดยมี ท็อดด์ คานท์เวลล์ เป็นตัวพลิกบอลแล้วก็ ตีมู ปุ๊กกี้ เป็นทีเด็ดที่แดนหน้า
เกมรับของ เดอะคานารีส์ ทำได้อย่างดีเยี่ยมจนกระทั่งสามารถรักษาสกอร์ 0-0 ได้อยู่ในครึ่งแรก จบโมเมนตัมของเกมช่วงกลางครึ่งหลังมาอยู่กับพวกเขาเมื่อ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์ ตะบันไกลจากนอกกรอบไปชนโคนเสาอย่างจัง แต่ว่าเสียงปลุกเร้าของกองเชียร์เจ้าถิ่นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อ ซาดิโอ มาเน ลุกจากม้านั่งสำรองลงไปสร้างความวูบวาบที่ขอบเส้นฝั่งซ้ายก่อนที่จะพังประตูชัยให้กับ หงส์แดง ในที่สุด
- ยกนิ้วให้แนวรับ นอริช
หากแม้ทีมของ แดเนียล ฟาร์เค จะจมอยู่ในอันดับบ๊วยบนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก แต่ถือว่าแนวรับของ เดอะคานารีส์ เล่นได้อย่างมีระบบระเบียบวินัยตลอดทั้ง 78 นาทีก่อนที่จะสูญเสียประตู
เซ็นเตอร์แบ็คเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมอย่าง แกรนท์ ฮานลีย์ ปฏิบัติภารกิจผู้นำในแดนหลังของเจ้าถิ่นแทบจะสมบูรณ์แบบเมื่อดักเก็บพายุเกมรุกของทีมเยือนไว้ได้อย่างสม่ำเสมอแม้ว่าทำนบจะมาแตกเอาในช่วงท้ายเกมก็ตาม
สถิติของ แกรนท์ ฮานลีย์:
แย่งบอลจากคู่ต่อสู้สำเร็จสูงที่สุดในสนาม 5 ครั้ง (ร่วมกับ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์)
เคลียร์บอลพ้นอันตราย 5 ครั้ง (มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 จากนักฟุตบอลทั้งหมด)
- เฮนโด้ แผลงฤทธิ์เมื่อมี ฟาบินโญ คัดท้าย
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกตัวด้วยการรับบทบาทยืนเป็นกองกลางตัวต่ำคอยเก็บกวาดบอลก่อนจะไปถึงแนวรับและก็การขับเคลื่อนเกมรุกจากกลางไปหน้า เจ้าตัวทำเป็นน่าพอใจในระดับหนึ่งแต่ว่าเขายิ่งโดดเด่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆกว่าดิมในครึ่งเวลาหลังรวมทั้งกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้
ฟาบินโญ ถูกส่งลงสนามแทนที่ จินี ไวนัลดุม ในนาทีที่ 60 ซึ่งกองกลาง บราซิเลียน ลงไปยืนต่ำแทนที่ เฮนโด้ เวลาที่กองกลางชาว อังกฤษ ขยับสูงมากขึ้นมากกว่าเดิมโดยที่แนวรับของ นอริช ถอยร่นไปแพ็คเกมอย่างแน่นหนา
ผลพวงจากการปรับแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้กัปตันทีม หงส์แดง มีส่วนร่วมกับเกมรุก แล้วก็ยังมีพื้นที่ให้เล่นมากเพิ่มขึ้นกว่าเดิมจนกระทั่งเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นคนแอสซิสต์วางบอลยาวให้ มาเน หลุดเข้าไปพังประตูให้ทีมคว้าชัยในท้ายที่สุด
- มาเน สวมบทพระเอก
แม้ว่า ซาดิโอ มาเน เพิ่งจะจากการบาดเจ็บรวมทั้งมีชื่อเป็นเพียงแต่ตัวสำรองในเกมนี้แต่ตอนท้ายเจ้าตัวก็ถูก เยอร์เก้น คล็อปป์ เข็นลงสู่สนามแทนที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ในครึ่งเวลาหลัง ก่อนที่จะก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนแปลงของเกมในท้ายที่สุด
เห็นได้ชัดว่าดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล สามารถยกระดับเกมรุกของ หงส์แดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กราบซ้ายได้พอดีเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีการประสานงานที่พอดีกับเพื่อนร่วมทีมก่อนที่จะเจ้าตัวจะได้โอกาสสมบูรณ์แบบเมื่อรับบอลวางยาวจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หลุดเข้าไปทำประตูชัยให้กับทีมสำเร็จ
- สถิติจาก OPTA ที่น่าสนใจ
ลิเวอร์พูล ทำสถิติเก็บชัยใน พรีเมียร์ลีก ต่อเนื่องกัน 17 เกมเข้าไปแล้ว เหลือการคว้าชัยอีกเพียงเกมเดียวก็จะเท่ากันสถิติสูงสุดตลอดกาลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำได้ 18 เกมระหว่างสิงหาคม-เดือนธันวาคม 2017
หงส์แดง เป็นฝ่ายทำคะแนนได้ก่อน นอริช สำหรับการพบกันบนเวที พรีเมียร์ลีก 14 เกมหลังสุด ทำให้พวกเขาทำสถิติการเป็นฝ่ายทำประตูได้ก่อนเทียบเท่าสถิติสูงสุดของ เชลซี ที่ยิงใส่ พอร์ทสมัธ 14 เกมเท่ากัน
ทักนกขมิ้น สามารถเก็บชัยชนะได้เพียงแต่ 1 นัดจาก 13 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 5 แพ้ 7) และไม่สามารถทำประตูต่อเนื่องกันในลีก 2 นัดได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่แมื่อพฤศจิกายน 2019
ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาคลีนชีทในลีกสูงสุด 10 นัดจาก 11 เกมหลังสุดโดยก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา 11 เกมพวกเขาไม่เสียประตูเพียงแค่ 1 แมตช์เพียงแค่นั้น
ซาดิโอ มาเน พังประตูที่ 100 ในสำหรับการลงเล่นที่ อังกฤษ เมื่อรวมทุกรายการ (25 ประตูให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน แล้วก็ 75 ประตูสำหรับ ลิเวอร์พูล)
ยิ่งไปกว่านี้ยังนับเป็นประตูที่ 57 ของ มาเน ในยูนิฟอร์ม หงส์แดง บนเวที พรีเมียร์ลีก แม้กระนั้นเป็นประตูแรกของเขากับทีมในฐานะผู้เล่นสำรอง
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้แอสซิสต์เป็นครั้งที่ 5 ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มีเพียงแค่ซีซํน 2014/15 รวมทั้ง 2013/14 แค่นั้นที่เจ้าตัวทำแอสซิสต์ได้มากกว่านี้ (9 และก็ 7 ครั้งตามลำดับ)
เร้ดแมชีน จบครึ่งแรกใน 2 เกมปัจจุบันด้วยผลไร้สกอร์ นับเป็นเพียงแต่ 2 นัดจากทั้งหมด 24 เกมในลีกแค่นั้นในซีซันนี้ที่จบลงด้วยสกอร์ 0-0
นอริช ไม่สามารถที่จะยิงตรงกรอบในครึ่งแรกเป็นครั้งแรกภายใต้การควบคุมทีมของ แดเนียล ฟาร์เค นอกจากนี้ยังนับเป็นครั้งแรกเมื่อรวมเกมลีกทุกระดับของพวกเขานับจากการพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนเมษายน 2014